Article
ดูกอล์ฟไม่ยาก หากรู้จักคำเรียก…เปิดศัพท์คุ้นหู ที่ผู้บรรยายมักใช้ในกีฬากอล์ฟ
สำหรับนักกอล์ฟมือใหม่หรือแม้แต่คนที่ยังไม่รู้จักกีฬากอล์ฟนั้น คงเคยสงสัยว่า เวลาที่ผู้บรรยายขานแต้มและนับคะแนน คำว่า พาร์ ,เบอร์ดี้ คืออะไรกันแน่ แล้วเจ้ากีฬากอล์ฟเนี่ย เขานับคะแนนและเอาชนะกันได้อย่างไร ?
วันนี้ GolfdiggTODAY มีคำตอบมาฝากกัน
ทำความเข้าใจง่าย ๆ ก่อนว่า ในการตีกอล์ฟเราจะเรียกว่าจำนวนครั้งที่ตีออกไปว่า สโตรค (Stroke) และหลุมแต่ละหลุมในสนามจะมีการกำหนดมาตรฐานจำนวนครั้งที่ตี เรียกว่า พาร์(Par) โดยพิจารณาจากความยากง่ายของหลุมนั้น ๆ เพื่อกำหนดให้ผู้เล่นตีให้ได้เท่ากับจำนวนแต้มมาตรฐาน ซึ่งในแต่ละหลุมจะแบ่งออกเป็น
1.หลุมที่ระบุว่าเป็นหลุมพาร์ 3 (Par 3) โดยทั่วไปจะมีความยาวประมาณ 150-180 หลา ในระดับสมัครเล่นหรือเกิน 200 หลาสำหรับมือแข่งขัน ถ้าผู้เล่นตีออกจากแท่นตีจนกระทั่งลูกลงหลุมในจำนวนตี 3 ครั้งก็เท่ากับว่ามีความสามารถที่ตีได้เท่ากับแต้มมาตรฐานของหลุมนี้ เรียกว่าทำพาร์ได้
2.หลุมที่ระบุว่าเป็นหลุมพาร์ 4 (par 4) ทั่วๆ ไปมีความยาวตั้งแต่ 300 กว่าหลาถึง 400 กว่าหลาในระดับสมัครเล่น ถ้าผู้เล่นตีออกจากแท่นตีจนกระทั่งลูกลงหลุมในจำนวนตี 4 ครั้งก็เท่ากับว่ามีความสามารถที่ตีได้เท่ากับแต้มมาตรฐานของหลุมนี้ เรียกว่าทำพาร์ได้
3.หลุมที่ระบุว่าเป็นหลุมพาร์ 5 (par 5) มีความยาวเกิน 500 หลาขึ้นไป ถ้าผู้เล่นตีออกจากแท่นตีจนกระทั่งลูกลงหลุมในจำนวนตี 5 ครั้งเท่ากับว่ามีความสามารถที่ตีได้เท่ากับแต้มมาตรฐานของหลุมนี้ เรียกว่าทำพาร์ได้
สรุปได้ว่า
ถ้าพาร์ 3 ตี 3 ครั้งลงหลุมคือได้พาร์ และพาร์ 4 ตี 4 ครั้งลงหลุมก็คือได้พาร์ นั่นเอง
ซึ่งเมื่อนักกอล์ฟตีครบทั้ง 18 หลุมแล้ว แต้มรวมใครต่ำที่สุดถือว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการแข่งขันนั้นๆ ยิ่งถ้าเราตีได้จำนวนครั้งน้อยเท่าไหร่ เราก็ถือว่าเก่งหรือมีโอกาสที่จะชนะคนอื่นๆ นั่นเอง
ในส่วนของแต้มมาตรฐานของสนาม (Par of the course) ส่วนใหญ่ในระดับสมัครเล่นนั้นจะเท่ากับ 72 แต้ม ส่วนสนามที่มีแต้มมาตรฐานรวม 71 หรือ 70 คณะกรรมการจัดการแข่งขันอาจจะใช้การปรับลดหลุมที่เป็นพาร์ 5 ลงไปเป็นหลุมพาร์ 4 จำนวนหนึ่งหรือสองหลุมเพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับผู้เล่น
สำหรับคำที่ใช้เรียกแต้มรวมทั้งหมดที่ตีได้สำหรับสนามที่มีแต้มมาตรฐานรวมเท่ากับ 72 ที่เราจะคุ้น ๆ และใช้กันอยู่ในเวลานี้ก็คือ ถ้าผู้เล่นตีได้ 72 แต้ม เรียกว่า ‘สแควร์พาร์’ (square par) ถ้าผู้เล่นตีได้ ต่ำกว่า 72 แต้ม เรียกว่า ‘อันเดอร์พาร์’ (under par) ถ้าผู้เล่นตีได้ เกิน 72 แต้ม เรียกว่า โอเวอร์พาร์ (over par) หากผู้เล่นตีได้ 70 แต้ม เรียกว่า -2 หรือ สองอันเดอร์พาร์ และถ้าผู้เล่นตีได้ 74 แต้ม เรียกว่า +2 สองโอเวอร์พาร์ เป็นต้น
อีกศัพท์ที่มักได้ยิน เช่น อีเกิ้ล (Eagle), เบอร์ดี้ (Birdie), โบกี้ (Bogey) หรือดับเบิ้ลโบกี้ (Double Bogey) เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้จะเรียกแทนคะแนนที่ทำได้ในแต่ละช็อตของการเล่นในหลุมนั้น ๆ อาทิ
เบอร์ดี้ (Birdie) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีได้ต่ำกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 1 สโตรค อย่างเช่นพาร์ 4 เราตีเพียง 3 ครั้งลงหลุม
อีเกิ้ล (Eagle) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีได้ต่ำกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 2 สโตรค ซึ่งมักจะเห็นได้บ่อยในหลุมพาร์ 5 เช่นพาร์ 5 แต่เราตี 3 ครั้งลงหลุม
อัลบาทรอส (Albatross) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีได้ต่ำกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 3 สโตรค
โบกี้ (Bogey) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีเกินกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 1 สโตรค เช่นพาร์ 4 แต่เราตี 5 ครั้งลงหลุม
ดับเบิ้ลโบกี้ (Double Bogey) จะเรียกเมื่อเวลานักกอล์ฟตีเกินกว่าแต้มมาตรฐานของแต่ละหลุม (พาร์) ไป 2 สโตรค เช่นพาร์ 4 แต่เราตี 6 ครั้งลงหลุม
ส่วนการตีเพียงครั้งเดียวแล้วลงหลุมเลย มีชื่อเฉพาะเรียกว่า ‘โฮลอินวัน’ (Hole in one)
เรียบเรียงโดย golfdigg
จองกรีนฟี ออกรอบกว่า 150 สนามกอล์ฟทั่วไทยกับ golfdigg ได้แล้ว
บนเว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฟรีได้ที่